พิษ (Poisoning) อย่า เป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ สาเหตุอาจมาจากการรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายทางการกิน การหายใจ การสัมผัสทางผิวหนัง หรือแม้กระทั่งการฉีดเข้าสู่ร่างกาย หากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องตั้งแต่แรก อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นและถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น การมีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดพิษ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกครอบครัวและชุมชนควรตระหนัก
ความหมายของพิษและการเกิดพิษ

พิษคือสารที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือชีวิต สารพิษอาจมีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น ยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด แอลกอฮอล์ ยาเกินขนาด อาหารหรือพืชที่มีสารพิษ และแม้กระทั่งสัตว์มีพิษ เช่น งู แมงป่อง หรือแมงกะพรุน
กลไกการเกิดพิษมักเกี่ยวข้องกับการที่สารพิษเข้าไปขัดขวางการทำงานของอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ ปอด ตับ และไต ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติในระบบต่าง ๆ
ช่องทางที่สารพิษเข้าสู่ร่างกาย
- การกิน (Ingestion)
เช่น การดื่มยาฆ่าแมลง รับประทานอาหารที่ปนเปื้อน หรือกินยามากเกินไป - การหายใจ (Inhalation)
เช่น การสูดดมควันไฟ แก๊สพิษ หรือสารเคมีระเหยง่าย - การสัมผัสทางผิวหนังหรือดวงตา (Absorption)
เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำกรด ด่าง หรือสารเคมีที่ซึมผ่านผิวหนัง - การฉีดเข้าสู่ร่างกาย (Injection)
มักเกิดจากสัตว์มีพิษกัดต่อย เช่น งู แมลง หรือแมงกะพรุน
อาการทั่วไปของผู้ที่ได้รับพิษ
- คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
- เวียนศีรษะ สับสน หรือหมดสติ
- หายใจเร็ว หอบ หรือหายใจลำบาก
- ชักเกร็ง หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ผิวซีด เหงื่อออกมาก ชีพจรเต้นผิดปกติ
- อาการเฉพาะที่ เช่น แสบร้อน บวม แดง หรือแผลไหม้จากสารเคมี
การสังเกตอาการเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้ผู้ช่วยเหลือสามารถประเมินระดับความรุนแรงและตัดสินใจนำส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที
หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดพิษ
1. ตั้งสติและประเมินสถานการณ์
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถานที่ปลอดภัยก่อนเข้าไปช่วย เช่น หากมีแก๊สรั่ว ต้องเปิดหน้าต่างหรือออกจากพื้นที่
- สวมถุงมือหรือหน้ากากถ้ามี เพื่อป้องกันตนเองจากการสัมผัสสารพิษ
2. แยกผู้ป่วยออกจากแหล่งพิษ
- พาผู้ป่วยออกจากพื้นที่ที่มีควัน แก๊ส หรือสารพิษ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารพิษโดยตรง
3. ประเมินการหายใจและการไหลเวียนโลหิต
- หากผู้ป่วยหมดสติ ตรวจสอบการหายใจและชีพจร
- หากหยุดหายใจ ให้ทำการช่วยหายใจ (CPR) หากผู้ช่วยเหลือได้รับการฝึกฝน
4. การปฐมพยาบาลตามช่องทางที่ได้รับพิษ
ก. พิษจากการกิน
- ให้ผู้ป่วยบ้วนปากและจิบน้ำสะอาดเล็กน้อย
- ห้ามทำให้อาเจียน โดยเด็ดขาด หากไม่มั่นใจว่าพิษเป็นชนิดใด เพราะบางชนิด เช่น กรดหรือด่าง หากอาเจียนจะทำให้หลอดอาหารและกระเพาะเสียหายรุนแรงขึ้น
- หากทราบว่าสารที่กินเข้าไปคือยาหรือสารเคมี ควรเก็บภาชนะหรือฉลากไปด้วยเมื่อไปโรงพยาบาล
ข. พิษจากการหายใจ
- รีบนำผู้ป่วยออกสู่ที่โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก
- คลายเสื้อผ้าให้หลวม
- หากหายใจลำบาก ควรช่วยหายใจและรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
ค. พิษจากการสัมผัสผิวหนังหรือดวงตา
- ล้างบริเวณที่สัมผัสด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากอย่างน้อย 15–20 นาที
- หากเข้าตา ให้ล้างตาด้วยน้ำไหลเบา ๆ โดยเปิดเปลือกตาออก
- ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนออกทันทีเพื่อป้องกันการดูดซึมสารพิษเพิ่ม
ง. พิษจากการฉีดเข้าสู่ร่างกาย (สัตว์กัดต่อย)
- ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด
- จำกัดการเคลื่อนไหวของอวัยวะที่ถูกกัดหรือถูกต่อย
- ห้ามกรีดแผลหรือดูดพิษออก
- รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว
สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเกิดพิษ
- ห้ามทำให้อาเจียนโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือศูนย์พิษวิทยา
- ห้ามดื่มนมหรือน้ำมะนาวโดยคิดว่าจะช่วยล้างพิษ เพราะอาจทำให้พิษดูดซึมเร็วขึ้น
- ห้ามใช้ยาหรือสมุนไพรตามความเชื่อพื้นบ้านโดยไม่รู้แหล่งที่มา
- ห้ามรอให้อาการรุนแรงก่อนค่อยไปโรงพยาบาล เพราะอาจสายเกินไป
การเตรียมความพร้อมของครอบครัวและชุมชน
- เก็บสารเคมีและยาทุกชนิดอย่างปลอดภัย
เก็บให้พ้นมือเด็ก ติดฉลากชัดเจน และไม่ใส่ภาชนะที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม - เรียนรู้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ครอบครัวควรผ่านการอบรมหรือหาความรู้จากแหล่งที่เชื่อถือได้ - มีเบอร์โทรฉุกเฉินติดไว้ชัดเจน
เช่น เบอร์โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน - สร้างความตระหนักในชุมชน
การให้ความรู้เรื่องพิษและการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่คนในพื้นที่ จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้มาก
Checklist การปฐมพยาบาลเมื่อเกิดพิษ
สิ่งที่ควรทำ
- ✅ ทำให้สถานที่ปลอดภัยก่อนเข้าช่วย
- ✅ แยกผู้ป่วยออกจากแหล่งพิษ
- ✅ ตรวจสอบการหายใจและชีพจร
- ✅ ล้างสารพิษออกจากผิวหนังหรือตาโดยเร็ว
- ✅ เก็บภาชนะหรือฉลากสารพิษไปด้วยเมื่อส่งโรงพยาบาล
- ✅ รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที
สิ่งที่ไม่ควรทำ
- ❌ ห้ามทำให้อาเจียนโดยไม่แน่ใจ
- ❌ ห้ามใช้ยาสมุนไพรหรือวิธีพื้นบ้านที่ไม่มีหลักฐาน
- ❌ ห้ามปล่อยผู้ป่วยไว้ลำพังหากอาการรุนแรง
- ❌ ห้ามรอจนพิษออกฤทธิ์เต็มที่แล้วค่อยส่งโรงพยาบาล
ตัวอย่างสถานการณ์จริงของการเกิดพิษ
กรณีที่ 1: เด็กเล็กกินน้ำยาล้างห้องน้ำโดยไม่ตั้งใจ
เด็กชายวัย 3 ขวบพบขวดน้ำยาล้างห้องน้ำที่ไม่ได้เก็บอย่างปลอดภัย และเผลอกินเข้าไปไม่กี่อึก หลังจากนั้นมีอาการน้ำลายไหลมาก อาเจียนเป็นเลือด และร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด พ่อแม่รีบทำให้เด็กอาเจียนออกเพราะคิดว่าจะช่วยลดพิษ แต่กลับทำให้หลอดอาหารเป็นแผลรุนแรงมากขึ้น โชคดีที่นำส่งโรงพยาบาลทันเวลาและได้รับการรักษา
บทเรียน: การทำให้อาเจียนเมื่อกินสารกัดกร่อนอย่างกรดหรือด่าง เป็นสิ่งที่อันตรายมาก ไม่ควรทำโดยเด็ดขาด
กรณีที่ 2: คนงานโรงงานสูดดมแก๊สพิษ
ชายวัย 40 ปีทำงานในโรงงานเคมี เกิดแก๊สรั่วโดยไม่ทันสังเกต เมื่อสูดดมเข้าไปเริ่มมีอาการเวียนหัว หายใจไม่ออก เพื่อนร่วมงานรีบพาออกสู่ที่โล่งและโทรแจ้งกู้ชีพทันที พร้อมทั้งคลายเสื้อผ้าให้หลวม ทำให้ได้รับออกซิเจนและถูกส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา
บทเรียน: การรีบแยกผู้ป่วยออกจากแหล่งพิษและให้อากาศถ่ายเท เป็นการปฐมพยาบาลที่ช่วยชีวิตได้จริง
กรณีที่ 3: เกษตรกรโดนงูกัด
เกษตรกรในชนบทถูกงูเห่ากัดที่เท้า ขณะทำงานในสวน เพื่อนบ้านพยายามกรีดแผลและใช้ปากดูดพิษตามความเชื่อเก่า ๆ ผลลัพธ์คือพิษยังคงกระจายเข้าสู่ร่างกายเกษตรกร ขณะที่ผู้ช่วยเหลือเองก็เสี่ยงติดเชื้อในปาก เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาการรุนแรง ต้องใช้เซรุ่มแก้พิษงูและเครื่องช่วยหายใจ
บทเรียน: การกรีดแผลหรือดูดพิษด้วยปากไม่ช่วยอะไร แถมอันตรายทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ช่วยเหลือ
ข้อคิดเชิงปฏิบัติ: อย่าทำผิดพลาด!
- เวลา = ชีวิต
ยิ่งรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเร็วเท่าไหร่ โอกาสรอดชีวิตยิ่งสูงขึ้น - ความรู้ที่ถูกต้องคือเกราะป้องกัน
การปฐมพยาบาลผิดวิธีอาจสร้างอันตรายมากกว่าพิษเสียอีก - การเตรียมตัวคือสิ่งสำคัญ
ครอบครัวและชุมชนควรมีความรู้ มีอุปกรณ์พื้นฐาน และช่องทางติดต่อหน่วยงานฉุกเฉิน - ป้องกันดีกว่ารักษา
การเก็บสารพิษให้พ้นมือเด็ก การใช้เครื่องป้องกันส่วนบุคคลในการทำงาน และการระวังสัตว์มีพิษ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยง
แนวทางการปฐมพยาบาลพิษ: สรุปเป็นขั้นตอนสั้น ๆ
เพื่อให้ผู้อ่านจำได้ง่าย ในกรณีฉุกเฉิน สามารถยึดหลัก 4 ขั้นตอนนี้ได้
- หยุดแหล่งพิษ
- รีบพาผู้ป่วยออกจากบริเวณที่มีพิษ เช่น ควัน แก๊ส หรือสารเคมี
- ระมัดระวังไม่ให้ผู้ช่วยเหลือสัมผัสพิษจนเป็นอันตราย
- รักษาความปลอดภัยของผู้ป่วย
- ให้ผู้ป่วยนอนนิ่ง ลดการเคลื่อนไหว
- ถ้ามีอาการหมดสติ ตรวจการหายใจและชีพจร
- การปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามชนิดพิษ
- พิษจากการกินเข้าไป: ห้ามทำให้อาเจียนเอง ยกเว้นแพทย์สั่ง
- พิษจากการสูดดม: รีบนำออกสู่ที่อากาศบริสุทธิ์ คลายเสื้อผ้า
- พิษจากการสัมผัสผิวหนัง/ตา: ล้างด้วยน้ำสะอาดไหลผ่านนาน ๆ
- พิษจากสัตว์กัดต่อย: พันกดเหนือแผล (ไม่แน่นเกินไป) และห้ามดูดพิษ
- ติดต่อหน่วยงานฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด
- โทรหาโรงพยาบาลหรือหน่วยกู้ชีพ
- แจ้งอายุ อาการ ชนิดพิษ (ถ้าทราบ) และเวลาที่ได้รับพิษ
แนวทางการป้องกันพิษในชีวิตประจำวัน
- ในครัวเรือน
- เก็บสารเคมีและยาทุกชนิดไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท มีฉลากชัดเจน และให้พ้นมือเด็ก
- ไม่ควรเก็บสารเคมีในขวดน้ำดื่มหรือภาชนะอาหาร เพราะอาจถูกเข้าใจผิด
- ในสถานที่ทำงาน
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เช่น ถุงมือ หน้ากาก แว่นตา
- ผ่านการอบรมวิธีจัดการสารเคมีและวิธีอพยพเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
- ในพื้นที่ธรรมชาติ
- ระมัดระวังสัตว์มีพิษ เช่น งู แมงมุม ตะขาบ
- สวมรองเท้าปิดส้นและกางเกงขายาวเมื่อต้องเดินในป่า
- การใช้ยาและสมุนไพร
- ไม่ใช้ยามากเกินขนาดหรือผิดวิธี
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้สมุนไพร โดยเฉพาะในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ
บทส่งท้าย
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดพิษไม่เพียงแต่ช่วยยืดเวลาให้ผู้ป่วย แต่ยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อการรอดชีวิต ความผิดพลาดที่เล็กน้อย เช่น การทำให้อาเจียน การดูดพิษ หรือการชะลอการไปโรงพยาบาล อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การเรียนรู้แนวทางที่ถูกต้อง การเตรียมพร้อมในครอบครัว และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ล้วนเป็นการลงทุนที่มีค่าที่สุดในการปกป้องชีวิต