การได้ยิน เป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสที่สำคัญที่สุด แต่เรามักมองข้ามมันไป พฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันสามารถทำลายการได้ยินของเราอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว มาดู 5 พฤติกรรมที่ทำร้ายหูของคุณแบบเงียบ ๆ พร้อมวิธีป้องกันที่คุณควรรู้:
1. ฟังหูฟังด้วยระดับเสียงที่ดังเกินไป
ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ:
- การฟังเสียงที่ดังเกิน 85 เดซิเบล นานถึง 8 ชั่วโมง อาจทำให้เกิดความเสียหายถาวรต่อการได้ยิน
- โทรศัพท์สมาร์ตโฟนสามารถปล่อยเสียงได้สูงสุดถึง 105–110 เดซิเบล (ใกล้เคียงกับเสียงเลื่อยยนต์)
- เยาวชนในยุคปัจจุบันมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียการได้ยินเร็วกว่าพ่อแม่ถึง 30 ปี
ทางแก้ไข:
✔ ใช้กฎ 60/60 (ไม่เกิน 60% ของระดับเสียง เป็นเวลาไม่เกิน 60 นาที)
✔ เลือกใช้หูฟังแบบตัดเสียงรบกวน แทนการเพิ่มระดับเสียง
✔ ให้หูได้พัก 5 นาที ทุก ๆ ชั่วโมงที่ใช้งาน
2. แคะหูด้วยไม้พันสำลี การได้ยิน
อันตรายที่มองไม่เห็น:
- อาจดันขี้หูเข้าไปลึกในช่องหู
- เสี่ยงต่อการทำลายแก้วหู
- ลบชั้นปกป้องธรรมชาติของหูออกไป
วิธีทำความสะอาดหูอย่างปลอดภัย:
✓ ใช้ผ้าขนนุ่มเช็ดบริเวณใบหู
✓ หากจำเป็น ใช้น้ำมันเด็กหรือน้ำมันมะกอกหยดเล็กน้อยเพื่อทำให้ขี้หูนิ่ม
✓ เข้าพบแพทย์หู คอ จมูก เพื่อทำความสะอาดอย่างมืออาชีพ
3. เผชิญกับเสียงดังโดยไม่ป้องกัน
แหล่งเสียงอันตรายที่คุณอาจคาดไม่ถึง:
- เครื่องตัดหญ้า (90 เดซิเบล)
- คอนเสิร์ตสด (100–115 เดซิเบล)
- เสียงจราจรหนาแน่น (85 เดซิเบล)
- เสียงจากเครื่องปั่น/เครื่องผสมในครัว
การป้องกันตนเอง:
✓ ใส่ที่อุดหูเฉพาะทางเมื่อต้องอยู่ในที่เสียงดัง
✓ เลือกที่นั่งห่างจากลำโพงในงานคอนเสิร์ต
✓ จำกัดเวลาในการอยู่ในบริเวณที่เสียงดัง
4. เมินเฉยต่อการติดเชื้อในหู
สัญญาณที่มักถูกมองข้าม:
- รู้สึกแน่นในหู
- คันในหูบ่อย
- มีของเหลวไหลออกจากหู
- ได้ยินเสียงเบาลงเล็กน้อย
สิ่งที่ควรทำ:
✔ รีบไปพบแพทย์หู คอ จมูกทันที
✔ หลีกเลี่ยงการเกา หรือแหย่หู
✔ ป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหูระหว่างอาบน้ำ
5. ความเครียดและความดันโลหิตสูง
ความเชื่อมโยงที่คุณอาจไม่รู้:
- ความเครียดเรื้อรังทำให้เลือดไหลเวียนไปยังหูชั้นในลดลง
- ความดันโลหิตสูงทำลายหลอดเลือดเล็ก ๆ ในหู
- 30% ของผู้ที่มีอาการหูอื้อ (เสียงดังในหู) มักมีปัญหาความวิตกกังวลร่วมด้วย
วิธีดูแลการได้ยินของคุณ:
✓ ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำสมาธิและออกกำลังกายเป็นประจำ
✓ ตรวจวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ
✓ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอและขากรรไกร
สัญญาณเริ่มต้นของความเสียหายทางการได้ยิน
สังเกตอาการเหล่านี้:
- มักขอให้คนพูดซ้ำ
- ฟังบทสนทนาในที่เสียงดังได้ยาก
- ต้องเพิ่มเสียงทีวีหรือวิทยุมากกว่าปกติ
- ได้ยินเสียงหึ่งหรือเสียงดังในหูตลอดเวลา (tinnitus)
วิธีป้องกันอย่างได้ผล
- ทำ “detox หู” โดยใช้เวลาในที่เงียบสงบ
- ตรวจการได้ยินทุก ๆ 2 ปี หลังอายุ 50 ปี
- กินอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี แมกนีเซียม และโอเมก้า-3
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ (นิโคตินทำให้เลือดไหลเวียนไปที่หูลดลง)
ควรพบแพทย์หู คอ จมูก เมื่อใด?
รีบไปพบแพทย์หากคุณมีอาการเหล่านี้:
- ได้ยินเสียงหึ่งตลอดเวลา
- สูญเสียการได้ยินแบบเฉียบพลัน
- มีเลือดหรือหนองไหลจากหู
- เวียนศีรษะร่วมกับปัญหาการได้ยิน
ฟังเสียงในระดับที่ปลอดภัย
ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง หรือโทรศัพท์ ควรใช้เสียงในระดับพอเหมาะ โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้หูฟัง ควรเลือกหูฟังแบบครอบหู (over-ear) ที่ลดเสียงรบกวนรอบข้างได้ จะช่วยให้ไม่ต้องเร่งเสียงจนเกินไป
ให้หูได้พักเป็นระยะ
หูต้องการการพักผ่อนเช่นเดียวกับดวงตาและร่างกาย หากคุณอยู่ในที่มีเสียงดังตลอดทั้งวัน ควรหาช่วงเงียบ ๆ ให้หูได้พักอย่างน้อย 10–15 นาทีทุกชั่วโมง
รับประทานอาหารที่ดีต่อระบบประสาท
อาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า-3 สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินบี โดยเฉพาะ B12 และแมกนีเซียม มีส่วนช่วยในการปกป้องเส้นประสาทที่เชื่อมโยงกับการได้ยิน
รักษาสุขภาพโดยรวมให้ดี
โรคบางชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือด อาจมีผลกระทบต่อการได้ยิน เพราะไปลดการไหลเวียนของเลือดในหู หากควบคุมโรคเหล่านี้ได้ดี ก็จะช่วยชะลอการเสื่อมของการได้ยินได้
สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก:
- ได้ยินเสียงน้อยลง หรือเหมือนมีอะไรอุดอยู่ในหู
- ได้ยินเสียงวิ้งหรือเสียงหวีดในหู (Tinnitus)
- พูดคุยแล้วรู้สึกได้ยินไม่ชัด ต้องให้คนพูดซ้ำ
- หูอื้อเรื้อรัง โดยไม่มีสาเหตุ
- เวียนศีรษะร่วมกับการได้ยินลดลง
การป้องกันคือกุญแจสำคัญ: สร้างนิสัยที่ช่วยรักษาการได้ยิน
การป้องกันดีกว่าการรักษาเสมอ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่องการได้ยินที่เมื่อเสื่อมลงแล้วมักฟื้นกลับมาได้ยาก การสร้างนิสัยที่ดีในชีวิตประจำวันจะช่วยให้การได้ยินของคุณอยู่กับคุณไปได้นานที่สุด
หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ลำโพงโดยตรง
ไม่ว่าจะเป็นงานคอนเสิร์ต ผับ บาร์ หรือแม้แต่การชมภาพยนตร์ในระบบเสียงดัง การอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดเสียงมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินอย่างมีนัยสำคัญ หากจำเป็นต้องอยู่ในบริเวณนั้น ควรสวมที่อุดหูหรือหาที่นั่งห่างจากแหล่งเสียง
รักษาความสะอาดของหูอย่างถูกวิธี
การทำความสะอาดหูไม่ควรใช้อุปกรณ์แหลมหรือของแข็ง ควรใช้ผ้านุ่มหรือสำลีเช็ดเฉพาะบริเวณใบหูและรอบรูหูด้านนอกเท่านั้น หากรู้สึกว่ามีขี้หูอุดตันมาก ควรปรึกษาแพทย์แทนการแยงหูเอง
หมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงในการได้ยิน
การได้ยินเสียงเบาลงอย่างช้าๆ อาจไม่สังเกตได้ในทันที การรู้จักฟังเสียงรอบตัวและเปรียบเทียบกับคนอื่น เช่น ถ้าเปิดทีวีเสียงดังเกินกว่าคนอื่น หรือฟังคนพูดแล้วไม่ชัด ควรรีบตรวจการได้ยินโดยไม่รอให้อาการรุนแรง
อย่าเพิกเฉยต่อความเสี่ยง
หลายคนคิดว่าอาการหูอื้อหรือเสียงวิ้งในหูเป็นเรื่องเล็กและมักหายไปเอง แต่หากเกิดขึ้นบ่อย หรือคงอยู่นานเกิน 2–3 วัน ควรไปพบแพทย์โดยทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการสูญเสียการได้ยินถาวร
ก้าวต่อไป: สร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อการได้ยิน
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพหูไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยิน แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม โดยสามารถเริ่มได้จากสิ่งรอบตัวดังนี้
ปรับระดับเสียงของอุปกรณ์ภายในบ้าน
ทีวี วิทยุ ลำโพง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ไม่ควรถูกตั้งค่าเสียงให้ดังเกินจำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ปิด เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน หรือรถยนต์ เพราะเสียงสะท้อนจะเพิ่มความดังโดยไม่รู้ตัว
ให้ความรู้กับคนรอบข้าง
สมาชิกในครอบครัวควรได้รับความรู้เกี่ยวกับอันตรายของเสียงดัง เช่น การไม่เปิดเสียงทีวีหรือโทรศัพท์จนรบกวนผู้อื่น การใช้หูฟังอย่างปลอดภัย และการดูแลสุขภาพหูในผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก
วางแผนการใช้อุปกรณ์เสียงในแต่ละวัน
หากมีอาชีพหรือกิจกรรมที่ต้องใช้อุปกรณ์เสียงเป็นเวลานาน ควรแบ่งเวลาให้ชัดเจน เช่น ฟังไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อครั้ง และเว้นระยะพักหูประมาณ 10–15 นาทีในแต่ละรอบ เพื่อให้เซลล์ประสาทในหูได้ฟื้นฟู
ใช้เครื่องมือช่วยวัดระดับเสียง
แอปพลิเคชันวัดเดซิเบลสามารถช่วยตรวจสอบความดังของเสียงในสภาพแวดล้อมได้ หากเสียงรอบข้างเกิน 85 เดซิเบลติดต่อกันเกิน 8 ชั่วโมง อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อหูในระยะยาว
บทสรุปเพิ่มเติม
พฤติกรรมเล็ก ๆ ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง การใช้หูฟัง หรือการใช้ชีวิตท่ามกลางเสียงดัง ล้วนเป็นปัจจัยสะสมที่ส่งผลกระทบต่อประสาทการได้ยินในระยะยาว การดูแลหูไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เพียงแค่ใส่ใจ หลีกเลี่ยงความเสี่ยง และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
หูของเรามีเพียงคู่เดียว การได้ยินที่ดีจึงไม่ควรถูกมองข้ามหรือปล่อยให้เสื่อมลงโดยไม่รู้ตัว เริ่มต้นวันนี้ เพื่อการได้ยินที่คงอยู่ตลอดไป.
แนวทางตรวจสุขภาพการได้ยินอย่างสม่ำเสมอ
แม้ว่าการได้ยินจะยังดูปกติ แต่การตรวจสุขภาพหูเป็นประจำสามารถช่วยค้นหาความผิดปกติที่อาจกำลังเกิดขึ้นโดยที่ยังไม่แสดงอาการชัดเจน การตรวจหูไม่เพียงเหมาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังจำเป็นสำหรับทุกช่วงวัย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
ใครบ้างที่ควรตรวจการได้ยิน
- ผู้ที่ทำงานในที่มีเสียงดัง เช่น โรงงาน สถานบันเทิง ไซต์ก่อสร้าง
- ผู้ที่มีอาการหูอื้อ หรือได้ยินเสียงวิ้งบ่อย ๆ
- ผู้ที่ใช้หูฟังนานหลายชั่วโมงต่อวัน
- เด็กเล็กที่มีพัฒนาการการพูดล่าช้าหรือฟังเรียกไม่ตอบ
- ผู้สูงอายุทุกคนควรตรวจปีละ 1 ครั้ง
การตรวจมีขั้นตอนอย่างไร
- ตรวจโดยแพทย์เฉพาะทาง: ตรวจดูสภาพภายนอกและภายในของหูว่ามีการอักเสบหรือมีสิ่งอุดตันหรือไม่
- ทดสอบการได้ยิน (Audiometry): ฟังเสียงในระดับความถี่ต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบช่วงความถี่ที่ยังได้ยินชัด และช่วงที่เริ่มเสื่อม
- ทดสอบการนำเสียงผ่านกระดูก (Bone conduction): ตรวจสอบว่าความผิดปกติเกิดที่หูชั้นนอก กลาง หรือใน
ควรตรวจที่ไหน
สามารถเข้ารับการตรวจได้ที่โรงพยาบาลทั่วไป คลินิกหู คอ จมูก หรือศูนย์สุขภาพประจำชุมชนที่มีอุปกรณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านโสตประสาท
การดูแลระยะยาว: เมื่อเริ่มสูญเสียการได้ยิน
หากตรวจพบว่าการได้ยินเริ่มเสื่อม การดูแลสามารถทำได้หลายทาง เช่น:
- การใช้เครื่องช่วยฟัง: สำหรับผู้ที่การได้ยินลดลงในระดับปานกลางถึงรุนแรง เครื่องช่วยฟังสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก
- การฝึกฟังเสียงและการพูด: โดยเฉพาะในเด็กหรือผู้สูงวัย การฟื้นฟูโดยนักแก้ไขการพูดและการฟังช่วยให้ใช้การได้ยินที่เหลืออยู่อย่างมีประสิทธิภาพ
- การปรับสิ่งแวดล้อม: เช่น การใช้ไฟกระพริบแทนเสียงเตือน หรือการพูดช้า ชัด เมื่ออยู่กับผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน