Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    phuketonetrip
    • Home
    • ความบันเทิง
    • ข่าวสารล่าสุด
    phuketonetrip
    ข่าวสารล่าสุด

    พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ที่ทำลาย การได้ยิน โดยไม่รู้ตัว

    Jeffrey PhillipsBy Jeffrey PhillipsJune 17, 2025No Comments2 Mins Read

    การได้ยิน เป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสที่สำคัญที่สุด แต่เรามักมองข้ามมันไป พฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันสามารถทำลายการได้ยินของเราอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว มาดู 5 พฤติกรรมที่ทำร้ายหูของคุณแบบเงียบ ๆ พร้อมวิธีป้องกันที่คุณควรรู้:

    1. ฟังหูฟังด้วยระดับเสียงที่ดังเกินไป

    ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ:

    • การฟังเสียงที่ดังเกิน 85 เดซิเบล นานถึง 8 ชั่วโมง อาจทำให้เกิดความเสียหายถาวรต่อการได้ยิน
    • โทรศัพท์สมาร์ตโฟนสามารถปล่อยเสียงได้สูงสุดถึง 105–110 เดซิเบล (ใกล้เคียงกับเสียงเลื่อยยนต์)
    • เยาวชนในยุคปัจจุบันมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียการได้ยินเร็วกว่าพ่อแม่ถึง 30 ปี

    ทางแก้ไข:
    ✔ ใช้กฎ 60/60 (ไม่เกิน 60% ของระดับเสียง เป็นเวลาไม่เกิน 60 นาที)
    ✔ เลือกใช้หูฟังแบบตัดเสียงรบกวน แทนการเพิ่มระดับเสียง
    ✔ ให้หูได้พัก 5 นาที ทุก ๆ ชั่วโมงที่ใช้งาน

    2. แคะหูด้วยไม้พันสำลี การได้ยิน

    อันตรายที่มองไม่เห็น:

    • อาจดันขี้หูเข้าไปลึกในช่องหู
    • เสี่ยงต่อการทำลายแก้วหู
    • ลบชั้นปกป้องธรรมชาติของหูออกไป

    วิธีทำความสะอาดหูอย่างปลอดภัย:
    ✓ ใช้ผ้าขนนุ่มเช็ดบริเวณใบหู
    ✓ หากจำเป็น ใช้น้ำมันเด็กหรือน้ำมันมะกอกหยดเล็กน้อยเพื่อทำให้ขี้หูนิ่ม
    ✓ เข้าพบแพทย์หู คอ จมูก เพื่อทำความสะอาดอย่างมืออาชีพ

    3. เผชิญกับเสียงดังโดยไม่ป้องกัน

    แหล่งเสียงอันตรายที่คุณอาจคาดไม่ถึง:

    • เครื่องตัดหญ้า (90 เดซิเบล)
    • คอนเสิร์ตสด (100–115 เดซิเบล)
    • เสียงจราจรหนาแน่น (85 เดซิเบล)
    • เสียงจากเครื่องปั่น/เครื่องผสมในครัว

    การป้องกันตนเอง:
    ✓ ใส่ที่อุดหูเฉพาะทางเมื่อต้องอยู่ในที่เสียงดัง
    ✓ เลือกที่นั่งห่างจากลำโพงในงานคอนเสิร์ต
    ✓ จำกัดเวลาในการอยู่ในบริเวณที่เสียงดัง

    4. เมินเฉยต่อการติดเชื้อในหู

    สัญญาณที่มักถูกมองข้าม:

    • รู้สึกแน่นในหู
    • คันในหูบ่อย
    • มีของเหลวไหลออกจากหู
    • ได้ยินเสียงเบาลงเล็กน้อย

    สิ่งที่ควรทำ:
    ✔ รีบไปพบแพทย์หู คอ จมูกทันที
    ✔ หลีกเลี่ยงการเกา หรือแหย่หู
    ✔ ป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหูระหว่างอาบน้ำ

    5. ความเครียดและความดันโลหิตสูง

    ความเชื่อมโยงที่คุณอาจไม่รู้:

    • ความเครียดเรื้อรังทำให้เลือดไหลเวียนไปยังหูชั้นในลดลง
    • ความดันโลหิตสูงทำลายหลอดเลือดเล็ก ๆ ในหู
    • 30% ของผู้ที่มีอาการหูอื้อ (เสียงดังในหู) มักมีปัญหาความวิตกกังวลร่วมด้วย

    วิธีดูแลการได้ยินของคุณ:
    ✓ ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำสมาธิและออกกำลังกายเป็นประจำ
    ✓ ตรวจวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ
    ✓ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอและขากรรไกร

    สัญญาณเริ่มต้นของความเสียหายทางการได้ยิน

    สังเกตอาการเหล่านี้:

    • มักขอให้คนพูดซ้ำ
    • ฟังบทสนทนาในที่เสียงดังได้ยาก
    • ต้องเพิ่มเสียงทีวีหรือวิทยุมากกว่าปกติ
    • ได้ยินเสียงหึ่งหรือเสียงดังในหูตลอดเวลา (tinnitus)

    วิธีป้องกันอย่างได้ผล

    • ทำ “detox หู” โดยใช้เวลาในที่เงียบสงบ
    • ตรวจการได้ยินทุก ๆ 2 ปี หลังอายุ 50 ปี
    • กินอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี แมกนีเซียม และโอเมก้า-3
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ (นิโคตินทำให้เลือดไหลเวียนไปที่หูลดลง)

    ควรพบแพทย์หู คอ จมูก เมื่อใด?

    รีบไปพบแพทย์หากคุณมีอาการเหล่านี้:

    • ได้ยินเสียงหึ่งตลอดเวลา
    • สูญเสียการได้ยินแบบเฉียบพลัน
    • มีเลือดหรือหนองไหลจากหู
    • เวียนศีรษะร่วมกับปัญหาการได้ยิน

    ฟังเสียงในระดับที่ปลอดภัย

    ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง หรือโทรศัพท์ ควรใช้เสียงในระดับพอเหมาะ โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้หูฟัง ควรเลือกหูฟังแบบครอบหู (over-ear) ที่ลดเสียงรบกวนรอบข้างได้ จะช่วยให้ไม่ต้องเร่งเสียงจนเกินไป


    ให้หูได้พักเป็นระยะ

    หูต้องการการพักผ่อนเช่นเดียวกับดวงตาและร่างกาย หากคุณอยู่ในที่มีเสียงดังตลอดทั้งวัน ควรหาช่วงเงียบ ๆ ให้หูได้พักอย่างน้อย 10–15 นาทีทุกชั่วโมง


    รับประทานอาหารที่ดีต่อระบบประสาท

    อาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า-3 สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินบี โดยเฉพาะ B12 และแมกนีเซียม มีส่วนช่วยในการปกป้องเส้นประสาทที่เชื่อมโยงกับการได้ยิน


    รักษาสุขภาพโดยรวมให้ดี

    โรคบางชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือด อาจมีผลกระทบต่อการได้ยิน เพราะไปลดการไหลเวียนของเลือดในหู หากควบคุมโรคเหล่านี้ได้ดี ก็จะช่วยชะลอการเสื่อมของการได้ยินได้


    สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

    หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก:

    • ได้ยินเสียงน้อยลง หรือเหมือนมีอะไรอุดอยู่ในหู
    • ได้ยินเสียงวิ้งหรือเสียงหวีดในหู (Tinnitus)
    • พูดคุยแล้วรู้สึกได้ยินไม่ชัด ต้องให้คนพูดซ้ำ
    • หูอื้อเรื้อรัง โดยไม่มีสาเหตุ
    • เวียนศีรษะร่วมกับการได้ยินลดลง

    การป้องกันคือกุญแจสำคัญ: สร้างนิสัยที่ช่วยรักษาการได้ยิน

    การป้องกันดีกว่าการรักษาเสมอ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่องการได้ยินที่เมื่อเสื่อมลงแล้วมักฟื้นกลับมาได้ยาก การสร้างนิสัยที่ดีในชีวิตประจำวันจะช่วยให้การได้ยินของคุณอยู่กับคุณไปได้นานที่สุด

    หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ลำโพงโดยตรง

    ไม่ว่าจะเป็นงานคอนเสิร์ต ผับ บาร์ หรือแม้แต่การชมภาพยนตร์ในระบบเสียงดัง การอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดเสียงมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินอย่างมีนัยสำคัญ หากจำเป็นต้องอยู่ในบริเวณนั้น ควรสวมที่อุดหูหรือหาที่นั่งห่างจากแหล่งเสียง

    รักษาความสะอาดของหูอย่างถูกวิธี

    การทำความสะอาดหูไม่ควรใช้อุปกรณ์แหลมหรือของแข็ง ควรใช้ผ้านุ่มหรือสำลีเช็ดเฉพาะบริเวณใบหูและรอบรูหูด้านนอกเท่านั้น หากรู้สึกว่ามีขี้หูอุดตันมาก ควรปรึกษาแพทย์แทนการแยงหูเอง

    หมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงในการได้ยิน

    การได้ยินเสียงเบาลงอย่างช้าๆ อาจไม่สังเกตได้ในทันที การรู้จักฟังเสียงรอบตัวและเปรียบเทียบกับคนอื่น เช่น ถ้าเปิดทีวีเสียงดังเกินกว่าคนอื่น หรือฟังคนพูดแล้วไม่ชัด ควรรีบตรวจการได้ยินโดยไม่รอให้อาการรุนแรง

    อย่าเพิกเฉยต่อความเสี่ยง

    หลายคนคิดว่าอาการหูอื้อหรือเสียงวิ้งในหูเป็นเรื่องเล็กและมักหายไปเอง แต่หากเกิดขึ้นบ่อย หรือคงอยู่นานเกิน 2–3 วัน ควรไปพบแพทย์โดยทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการสูญเสียการได้ยินถาวร

    ก้าวต่อไป: สร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อการได้ยิน

    การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพหูไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยิน แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม โดยสามารถเริ่มได้จากสิ่งรอบตัวดังนี้

    ปรับระดับเสียงของอุปกรณ์ภายในบ้าน

    ทีวี วิทยุ ลำโพง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ไม่ควรถูกตั้งค่าเสียงให้ดังเกินจำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ปิด เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน หรือรถยนต์ เพราะเสียงสะท้อนจะเพิ่มความดังโดยไม่รู้ตัว

    ให้ความรู้กับคนรอบข้าง

    สมาชิกในครอบครัวควรได้รับความรู้เกี่ยวกับอันตรายของเสียงดัง เช่น การไม่เปิดเสียงทีวีหรือโทรศัพท์จนรบกวนผู้อื่น การใช้หูฟังอย่างปลอดภัย และการดูแลสุขภาพหูในผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก

    วางแผนการใช้อุปกรณ์เสียงในแต่ละวัน

    หากมีอาชีพหรือกิจกรรมที่ต้องใช้อุปกรณ์เสียงเป็นเวลานาน ควรแบ่งเวลาให้ชัดเจน เช่น ฟังไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อครั้ง และเว้นระยะพักหูประมาณ 10–15 นาทีในแต่ละรอบ เพื่อให้เซลล์ประสาทในหูได้ฟื้นฟู

    ใช้เครื่องมือช่วยวัดระดับเสียง

    แอปพลิเคชันวัดเดซิเบลสามารถช่วยตรวจสอบความดังของเสียงในสภาพแวดล้อมได้ หากเสียงรอบข้างเกิน 85 เดซิเบลติดต่อกันเกิน 8 ชั่วโมง อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อหูในระยะยาว

    บทสรุปเพิ่มเติม

    พฤติกรรมเล็ก ๆ ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง การใช้หูฟัง หรือการใช้ชีวิตท่ามกลางเสียงดัง ล้วนเป็นปัจจัยสะสมที่ส่งผลกระทบต่อประสาทการได้ยินในระยะยาว การดูแลหูไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เพียงแค่ใส่ใจ หลีกเลี่ยงความเสี่ยง และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

    หูของเรามีเพียงคู่เดียว การได้ยินที่ดีจึงไม่ควรถูกมองข้ามหรือปล่อยให้เสื่อมลงโดยไม่รู้ตัว เริ่มต้นวันนี้ เพื่อการได้ยินที่คงอยู่ตลอดไป.

    แนวทางตรวจสุขภาพการได้ยินอย่างสม่ำเสมอ

    แม้ว่าการได้ยินจะยังดูปกติ แต่การตรวจสุขภาพหูเป็นประจำสามารถช่วยค้นหาความผิดปกติที่อาจกำลังเกิดขึ้นโดยที่ยังไม่แสดงอาการชัดเจน การตรวจหูไม่เพียงเหมาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังจำเป็นสำหรับทุกช่วงวัย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง

    ใครบ้างที่ควรตรวจการได้ยิน

    • ผู้ที่ทำงานในที่มีเสียงดัง เช่น โรงงาน สถานบันเทิง ไซต์ก่อสร้าง
    • ผู้ที่มีอาการหูอื้อ หรือได้ยินเสียงวิ้งบ่อย ๆ
    • ผู้ที่ใช้หูฟังนานหลายชั่วโมงต่อวัน
    • เด็กเล็กที่มีพัฒนาการการพูดล่าช้าหรือฟังเรียกไม่ตอบ
    • ผู้สูงอายุทุกคนควรตรวจปีละ 1 ครั้ง

    การตรวจมีขั้นตอนอย่างไร

    1. ตรวจโดยแพทย์เฉพาะทาง: ตรวจดูสภาพภายนอกและภายในของหูว่ามีการอักเสบหรือมีสิ่งอุดตันหรือไม่
    2. ทดสอบการได้ยิน (Audiometry): ฟังเสียงในระดับความถี่ต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบช่วงความถี่ที่ยังได้ยินชัด และช่วงที่เริ่มเสื่อม
    3. ทดสอบการนำเสียงผ่านกระดูก (Bone conduction): ตรวจสอบว่าความผิดปกติเกิดที่หูชั้นนอก กลาง หรือใน

    ควรตรวจที่ไหน

    สามารถเข้ารับการตรวจได้ที่โรงพยาบาลทั่วไป คลินิกหู คอ จมูก หรือศูนย์สุขภาพประจำชุมชนที่มีอุปกรณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านโสตประสาท


    การดูแลระยะยาว: เมื่อเริ่มสูญเสียการได้ยิน

    หากตรวจพบว่าการได้ยินเริ่มเสื่อม การดูแลสามารถทำได้หลายทาง เช่น:

    • การใช้เครื่องช่วยฟัง: สำหรับผู้ที่การได้ยินลดลงในระดับปานกลางถึงรุนแรง เครื่องช่วยฟังสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก
    • การฝึกฟังเสียงและการพูด: โดยเฉพาะในเด็กหรือผู้สูงวัย การฟื้นฟูโดยนักแก้ไขการพูดและการฟังช่วยให้ใช้การได้ยินที่เหลืออยู่อย่างมีประสิทธิภาพ
    • การปรับสิ่งแวดล้อม: เช่น การใช้ไฟกระพริบแทนเสียงเตือน หรือการพูดช้า ชัด เมื่ออยู่กับผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน
    พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ที่ทำลายการได้ยินโดยไม่รู้ตัว
    Jeffrey Phillips

    Related Posts

    อนาคตของการฉีดวัคซีน นวัตกรรมล่าสุดในด้านภูมิคุ้มกัน

    June 23, 2025

    ภาวะ เหงื่อ ออกมากเกินไปทำให้มีเหงื่อออกมากเกินไป

    June 22, 2025

    ผลกระทบของมลพิษทางน้ำต่อการแพร่กระจายของ โรค

    June 21, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.